การพัฒนาหลักสูตร
ความหมายของการพัฒนาหลักสูตร
มีนักการศึกษาให้ความหมายของคำว่า “
การพัฒนาหลักสูตร ” ไว้ดังนี้
สงัด อุทรานันท์
ได้กล่าวถึงความหมายของการพัฒนหลักสูตรว่า
“ การพัฒนา ” ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า
“Development”
มีความหมายอยู่ 2 ลักษณะ คือ
•
การทำให้ดีขึ้นหรือทำให้สมบูรณ์ขึ้น
•
การทำให้เกิดขึ้น
ด้วยเหตุนี้การพัฒนาหลักสูตรจึงมีความหมายใน
2 ลักษณะ คือ การทำหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น หรือสมบูรณ์ขึ้น กับการสร้างหลักสูตรขึ้นมาใหม่
โดยไม่มีหลักสูตรเดิมเป็นพื้นฐานเลย
ทาบา (Taba) ได้กล่าวไว้ว่า “ การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง
การเปลี่ยนแปลงปรับปรุงหลักสูตรอันเดิมให้ได้ผลดียิ่งขึ้น
ทั้งในด้านการวางจุดมุ่งหมาย การจัดเนื้อหาวิชา การเรียนการสอน การวัดผลประเมินผล
และอื่นๆ เพื่อให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายอันใหม่ที่วางไว้
การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบหรือเปลี่ยนแปลงทั้งหมด
ตั้งแต่จุดมุ่งหมายและวิธีการ
และการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรนี้จะมีผลกระทบกระเทือนทางด้านความคิดและความรู้สึกนึกคิดของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
ส่วนการปรับปรุงหลักสูตร หมายถึง
การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเพียงบางส่วนโดยไม่เปลี่ยนแปลงแนวคิดพื้นฐาน
หรือรูปแบบของหลักสูตร ”
กู๊ด (Good) ได้ให้ความเห็นว่า “ การพัฒนาหลักสูตรเกิดได้ 2 ลักษณะ คือ
การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตร การปรับปรุงหลักสูตรเป็นวิธีการพัฒนาหลักสูตรอย่างหนึ่งเพื่อให้เหมาะสมกับโรงเรียนหรือระบบโรงเรียน
จุดมุ่งหมายของการสอน วัสดุอุปกรณ์ วิธีสอน รวมทั้งการประเมินผล
ส่วนคำว่าเปลี่ยนแปลงหลักสูตร หมายถึงการแก้ไขหลักสูตรให้แตกต่างไปจากเดิม
เป็นการสร้างโอกาสทางการเรียนขึ้นใหม่ ”
เซเลอร์ และอเล็กซานเดอร์ (Saylor
and Alexander) ให้ความหมายว่า “ การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง
การจัดทำหลักสูตรเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น
หรือเป็นการจัดทำหลักสูตรใหม่โดยไม่มีหลักสูตรเดิมอยู่ก่อน การพัฒนาหลักสูตร
อาจหมายรวมถึงการสร้างเอกสารอื่นๆ สำหรับนักเรียนด้วย ”
จากความหมายของการพัฒนาหลักสูตรที่นักการศึกษาได้กล่าวไว้ข้างต้น
ทำให้สามารถอธิบาย สรุปความหมายของการพัฒนาหลักสูตรได้ว่า การพัฒนาหลักสูตร (Curriculum
Development) หมายถึง การจัดทำหลักสูตร การปรับปรุง
การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรให้ดีขึ้น เพื่อให้เหมาะกับความต้องการของบุคคล
และสภาพสังคม
การออกแบบหลักสูตร
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรเริ่มต้นจากระบบการร่างหลักสูตร
ระบบการนำหลักสูตรไปใช้ และระบบการประเมินหลักสูตร ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. ระบบการร่างหลักสูตร ประกอบด้วย การกำหนดหลักสูตร
โดยดูความสอดคล้องกับเนื้อหาวิชา สภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง
หลังจากนั้นเริ่มกำหนดรูปแบบหลักสูตร ได้แก่
การกำหนดหลักการโครงสร้างองค์ประกอบหลักสูตร วัตถุประสงค์ เนื้อหา
ประสบการณ์การเรียนและการเมินผลหลังจากนั้นดำเนินการตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรโดยผ่านผู้เชี่ยวชาญ
หรือการสัมมนา และมีการทดลองนำร่อง
พร้อมทั้งรวบรวมผลการวิจัยและปรับแก้หลักสูตรก่อนนำไปใช้
2. ระบบการใช้หลักสูตร
ประกอบด้วย การขออนุมัติหลักสูตรจากหน่วยงานหรือกระทรวงดำเนินการวางแผนการใช้หลักสูตร
โดยเริ่มจากการประชาสัมพันธ์หลักสูตร การเตรียมความพร้อมของบุคลากร
จัดงบประมาณและวัสดุหลักสูตร บริการสนับสนุนจัดเตรียมอาคารสถานที่
ระบบบริหารและจัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ และติดตามผลการใช้หลักสูตร
หลังจากนั้นเข้าสู่ระบบการบริหารหลักสูตร
โดยการดำเนินการตามแผนกิจกรรมการเรียนการสอนแผนการสอน คู่มือการสอน คู่มือการเรียน
เตรียมความพร้อมของผู้สอน ความพร้อมของผู้เรียนและการประเมินผลการเรียน
3. ระบบการประเมินผล ประกอบด้วย
การวางแผนการประเมินผลการใช้หลักสูตร ทั้งการประเมินย่อย การประเมินรวบยอด
การประเมินระบบหลักสูตร ระบบการบริหารและสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
หลังจากนั้นเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลและรายงานข้อมูลตามลำดับ
พื้นฐานในการจัดทำหลักสูตร
1. พื้นฐานทางด้านปรัชญาการศึกษา
ปรัชญาการศึกษา
หมายถึงอุดมคติ อุดมการณ์อันสูงสุดซึ่งยึดเป็นหลักในการจัดการศึกษา
มีบทบาทในการเป็นแม่บทเป็นต้นกำเนิดความคิดในการกำหนดความมุ่งหมายของการศึกษา
และเป็นแนวทางในการจัดการศึกษา เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยกำหนดทิศทางในการจัดการศึกษา
ช่วยกำหนดหลักการและ จุดมุ่งหมายของหลักสูตร รวมทั้งสิ่งอื่นที่จะตามมาคือ
การเลือกเนื้อหาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และการประเมินผลเป็นต้น
ปรัชญาการศึกษาต่าง ๆ มีดังนี้
ปรัชญาสารัตถนิยมหรือสาระนิยม (essentialism)
ถือว่าบุคคลเป็นส่วนหนึ่งของสังคม การจัดการศึกษาตามแนวคิดนี้จึงมีลักษณะเป็นการถ่ายทอด
และอนุรักษ์วัฒนธรรมของสังคมเพราะเห็นว่า สิ่งที่นำมาสอนนั้น ดีงาม ถูกต้อง
และกลั่นกรองมาดีแล้ว
เนื้อหาวิชาที่นำมาสอนจะเป็นการเตรียมผู้เรียนให้มีชีวิตที่ดี เช่น การอ่าน
การเขียน เลขคณิต ประวัติศาสตร์วรรณคดี ปรัชญา ศาสนา เป็นต้น
การจัดการเรียนรู้ยึดครูผู้สอนเป็นศูนย์กลาง เน้นการถ่ายทอดความรู้ให้ผู้เรียน
รับรู้และจำ คำนึงถึง เนื้อหาสาระมากกว่าความแตกต่างระหว่างบุคคล
วิธีสอนที่ใช้มากคือการบรรยายหรือการพูดของครู
ผู้เรียนต้องอยู่ในระเบียบวินัยจนสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้
การประเมินผลเน้นด้านความรู้
ปรัชญานิรันตรนิยม (parennialism)
ปรัชญานี้มีความเชื่อว่า การจัดการศึกษาควรให้เรียนในสิ่งที่ดีงาม
มั่นคง มีเสถียรภาพ เนื้อหาวิชาที่เรียนจะเป็นวิชาที่พัฒนาเชาวน์ปัญญาและจิตใจ
เช่น วิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ ภาษาศาสตร์ วรรณคดี ไวทยากรณ์ศิลปะการพูด คณิตศาสตร์
ดาราศาสตร์ และดนตรี วิธีสอนใช้การฝึกฝนทางปัญญา เช่น การอ่าน การเขียน
การฝึกทักษะ การท่องจำ การคำนวณ และการถามตอบ
ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม
หรือปรัชญาพิพัฒนนิยม หรือปรัชญาวิวัฒนาการนิยม (progressivism)
ปรัชญาการศึกษานี้ถือว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือของสังคมในการถ่ายทอดวัฒนธรรมแก่ชนรุ่นหลัง
การจัดการศึกษาตามแนวนี้จะมุ่งส่งเสริมพัฒนาการเด็กทุกด้าน เน้นการปฏิบัติจริง
และความสัมพันธ์กับสภาพจริง การจัดการเรียนรู้ยึด ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง วิธีการใช้มากคือ การทำโครงการ การอภิปรายกลุ่ม
และการแก้ปัญหาเป็นรายบุคคล
ปรัชญาอัตนิยม
หรือปรัชญาอัตถิภาวนิยม หรือปรัชญาสวภาพนิยม (existentialism) ปรัชญานี้ มีความเชื่อว่า
ทุกคนสามารถกำหนดชีวิตของตนเองจึงเน้นการปรับตัวให้เข้ากับสภาพของสังคม
เผชิญกับปัญหาต่าง ๆ การจัดการศึกษาจึงให้ ผู้เรียนมีอิสระในการเรียนรู้
การตัดสินใจ สอนให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง มีเสรีภาพในการเรียน
และเลือกเรียนมีความรับผิดชอบในตนเอง ครูผู้สอนเป็นเพียงผู้ชี้แนะแนวทาง
การจัดการเรียนรู้เน้นพัฒนาการของผู้เรียนแต่ละคน
วิชาที่เรียนเป็นวิชาที่พัฒนาความสามารถของบุคคลเฉพาะ ลงไป เช่น ศิลปะ ปรัชญา
วรรณคดี การเขียน การละคร เป็นต้น
ปรัชญาปฏิรูปนิยม (reconstructionism)
ปรัชญานี้มีความเชื่อว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแลงสังคมโดยตรง
เน้นการจัดการศึกษาเพื่อสร้างสังคมให้ดี รู้จักการอยู่ร่วมกันในสังคม
ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย
ดังนั้นผู้เรียนต้องหาประสบการณ์ด้วยตนเองให้มาก
การจัดหลักสูตรยึดอนาคตเป็นศูนย์กลาง มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้
ความสามารถและทัศนคติที่จะออกไปปฏิรูปสังคมให้ดีขึ้น
เนื้อหาวิชาเน้นหนักในหมวดสังคมศึกษา ด้านพฤติกรรมศาสตร์ อิทธิพลของชุมชน
ใช้วิธีสอนแบบให้ผู้เรียนค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง เน้นการอภิปราย
การแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องปัญหาของสังคม
พร้อมให้ข้อเสนอแนะในการปฏิรูปสังคมด้วย ตารางสอนจัดแบบยืดหยุ่น (flexible
schedule) การประเมินผลวัดพัฒนาการทุกด้านของผู้เรียนและทัศนคติเกี่ยวกับสังคม
สาเหตุที่ทำให้มีการพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตร
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพิจารณาถึงข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ
เพื่อให้หลักสูตรที่สร้างขึ้นมานั้น สมบูรณ์ สามารถสนองความต้องการของบุคคล
และสังคม พื้นฐานด้านต่างๆ ที่นักพัฒนาหลักสูตรต้องนำมาพิจารณานั้นมีหลายประการ
ซึ่งมีนักการศึกษาได้ให้ความคิดเห็นว่าพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรด้านต่างๆ
ที่ควรนำมาพิจารณาในการพัฒนาหลักสูตร มี 5 ด้าน ดังนี้
1. พื้นฐานทางด้านปรัชญาการศึกษา
2.
พื้นฐานทางด้านจิตวิทยา
3.
พื้นฐานทางด้านสังคมและวัฒนธรรม
4.
พื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง
5.
พื้นฐานทางด้านวิทยาการและเทคโนโลยี
ข้อมูลพื้นฐานการพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องศึกษา วิเคราะห์
สำรวจ วิจัย สภาพพื้นฐานด้านต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างเพียงพอในการสนับสนุนให้ได้หลักสูตรที่ดี สามารถพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ความามารถที่จะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้
ข้อมูลต่างๆที่นำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรนั้น นักศึกษาทั้งต่างประเทศและนักการศึกษาไทย ได้แสดงแนวทางไว้ดังนี้
ทาบา (Hilda Taba, 1962 :16-87)
กล่าวว่าการพัฒนาหลักสูตรโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์จะต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1. สังคมและวัฒนธรรม
2. ผู้เรียนและกระบวนการเรียน
3. ธรรมชาติของความรู้
กาญจนา คุณารักษ์ (2521 : 23-36)
กล่าวถึงข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรไว้ดังนี้
1.
ตัวผู้เรียน
2.
สังคมและวัฒนธรรม
3.
ธรรมชาติและคุณสมบัติของการเรียนรู้
4.
การสะสมความรู้ที่เพียงพอและเป็นไปได้เพื่อให้การศึกษา
ธำรง
บัวศรี (2532 : 4)
กล่าวว่าพื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรมีดังนี้
1.
พื้นฐานทางปรัชญา
2.
พื้นฐานทางสังคม
3.
พื้นฐานทางจิตวิทยา
4.
พื้นฐานความรู้และวิทยาการ
5.
พื้นฐานทางเทคโนโลยี
6.
พื้นฐานทางประวัติศาสตร์
สงัด อุทรา (2532 : 46)
กล่าวถึงพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร
ไว้ดังนี้
1.พื้นฐานทางปรัชญาการศึกษา
2.ข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรม
3.พื้นฐานเกี่ยวกับพัฒนาการของผู้เรียน
4.พื้นฐานเกี่ยวกับทฤษฎีการเรียนรู้
5. ธรรมชาติของความรู้
สาโรช บัวศรี (2514 : 21-22) ได้กล่าวว่า
ในการจัดการศึกษาหรือจัดหลักสูตรต้องอาศัยพื้นฐาน หลัก 5 ประการ คือ
1. พื้นฐานทางปรัชญา
2. พื้นฐานทางจิตวิทยา
3. พื้นฐานทางสังคม
4. พื้นฐานทางประวัติศาสตร์
5. พื้นฐานทางด้านเทคโนโลยี
เห็นได้ว่าข้อมูลที่นำมาศึกษาเพื่อพัฒนาหลักสูตรมีมากมายหลายด้าน
สำหรับประเทศไทยควรจัดลำดับข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญดังนี้
1. สังคมและวัฒนธรรม
2. เศรษฐกิจ
3. การเมืองการปกครอง
4.
สภาพปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหาในสังคม
5. พัฒนาการทางเทคโนโลยี
6. สภาพสังคมในอนาคต
7.บุคคลภายนอกและนักวิชาการแต่ละสาขา
8.โรงเรียน ชุมชน
หรือสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่
9.ประวัติศาสตร์การศึกษาและหลักสูตรเดิม
10.ธรรมชาติของความรู้
11.ปรัชญาการศึกษา
12.จิตวิทยา
ด้านสังคมและวัฒนธรรม
หลักสูตรที่จะนำไปสอนอนุชนต้องมีความสัมพันธ์กับสังคมอย่างแยกไม่ออก
และธรรมชาติของสังคมและวัฒนธรรมมักมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรมที่เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
จึงจะทำให้หลักสูตรีความสอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน
สามารถแก้ปัญหาและสนองความต้องการสังคมได้
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการวิเคราะห์ความต้องการใหม่
ผลของการวิเคราะห์ออกมาอย่างไร หลักสูตรก็จะเปลี่ยนจุดหมายไปแนวนั้น
สามารถจำแนกข้อมูลให้เห็นชัดเจนได้ดังนี้
1. โครงสร้างของสังคม
แบ่งเป็นสังคมชนบทและสังคมเมือง
การพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องศึกษาโครงสร้างของสังคมที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
และแนวโน้มโครงสร้างสังคมในอนาคตเพื่อที่จะได้ข้อมูลมาจัดหลักสูตรว่า
จะจัดหลักสูตรอย่างไรเพื่อยกระดับการพัฒนาสังคมเกษตรกรรมและเตรียมพื้นฐานเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมตามความจำเป็น
2. ค่านิยมในสังคม ค่านิยม หมายถึง
สิ่งที่คนในสังคมเดียวกันมองเห็นว่ามีคุณค่าเป็นที่ยอมรับ
การพัฒนาหลักสูตรจึงจำเป็นต้องศึกษาค่านิยมต่างๆในสังคมไทยว่า
ค่านิยมชนิดไหนสมควรได้รับการเปลี่ยนแปลงหรือดำรงไว้ หน้าที่ของนักพัฒนาหลักสูตรต้องศึกษาและเลือกค่านิยมที่ดีและสอดแทรกไว้ในหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนเพื่อปลูกฝังและสร้างค่านิยมที่ดีในสังคมไทย
3. ธรรมชาติของคนในสังคม ธรรมชาติของคนในแต่ละสังคมย่อมแตกต่างกันไป
ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมและค่านิยม ซึ่งทำให้คนไทยมีบุคลิกภาพต่างๆกัน เช่น
ยึดมั่นตัวบุคคล
ยกย่องบุคคลที่มีการศึกษาสูง ยกย่องผู้มีเงิน รักความอิสระ เชื่อโชคลาง
เล่นพวก ไม่กระตือรือร้น ฯลฯ
การพัฒนาหลักสูตรต้องคำนึงถึงลักษณะธรรมชาติ
บุคลิกของคนในสังคม ในสภาพปัจจุบัน
เพื่อที่จะจัดการศึกษาของคนในสังคมตามที่สังคมต้องการ
4.การชี้นำสังคมในอนาคต
ระบบพัฒนาหลักสูตรในอดีตเป็นลักษณะของการตั้งรับมาโดยตลอด ความต้องการและปัญหาของสังคม
จึงให้การศึกษาเป็นตัวตาม เป็นเครื่องมือที่คอยพัฒนาไปตามกระแสของความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ดังนั้นผลผลิตที่ได้จากหลักสูตร คือ ผู้เรียนเป็นผู้ที่วิ่งตามสังคม
ฉะนั้นการจัดการศึกษาที่ดีควรใช้การศึกษาที่ดีควรใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศในอนาคตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
นักพัฒนาหลักสูตรจึงควรศึกษาข้อมูลต่างๆที่เป็นเครื่องชี้นำสังคมในอนาคต เช่น
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
5.
ลักษณะสังคมตามความคาดหวัง
นักพัฒนาหลักสูตรควรจะได้ศึกษาข้อมูลหรือมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเปลี่ยนแปลงต่างๆเพื่อที่จะสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าสภาพสังคมในอนาคต
5-10 ปี ข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แม้จะเป็นการยากแก่การพยากรณ์แต่เป็นทางที่จะช่วยผลิตประชากรให้แก่สังคมได้อย่างสอดคล้องตามนโยบายการศึกษาของชาติ
และในการผลิตคนให้แก่สังคมในอนาคตที่ทำได้แน่นอนคือ
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพในการดำรงชีวิต จรรโลงสภาพสังคมในอนาคตให้ดีขึ้น
ลักษณะประชากรที่มีคุณภาพดีมีดังนี้
-มีสุขภาพกาย สุขภาพจิตดี
-มีอาชีพเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัว
ทำประโยชน์แก่ครอบครัว
-เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ
-มีสติปัญญา หมั่นเสริมสร้างความรู้ความคิดอยู่เสมอ
-มีนิสัยรักการทำงาน ขยัน อดทน
ประหยัด ซื่อสัตย์ ภักดี
-มีมนุษยสัมพันธ์ และมนุษยธรรม
หน้าที่ของนักพัฒนาหลักสูตรก็คือ จะต้องพิจารณาว่าจะจัดหลักสูตรอย่างไร รูปแบบใด จึงจะทำให้ประชากรมีคุณภาพดี
6.ศาสนาและวัฒนธรรมในสังคม ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในสังคม
วัฒนธรรมเป็นสัญลักษณ์อันสำคัญที่จะแสดงให้ทราบว่าเขาเหล่านั้นเป็นคนในสังคมเดียวกันหรือเป็นคนชาติเดียวกัน
ดังนั้นศาสนาและวัฒนธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการพัฒนาหลักสูตร
ทั้งนี้เพราะจุดประสงค์สำคัญของหลักสูตรก็คือการทำนุบำรุงรักษาและถ่ายทอดวัฒนธรรมที่ดีงามไว้ และสกัดกั้นวัฒนธรรมที่ไม่พึงประสงค์
เพื่อป้องกันไม่ให้มาทำลายความเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย การพัฒนาหลักสูตรจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงศาสนาและวัฒนธรรม
ความรู้และหลักธรรมทางศาสนาต่างๆนำมาบรรจุไว้ในหลักสูตร
คือสอนให้คนอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข
ด้านวัฒนธรรมนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพราะวิทยาการต่างๆเจริญก้าวหน้า
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอย่างรวดเร็ว
การพัฒนาหลักสูตรจึงต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม
ข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรมมีความสำคัญต่อการพัฒนาหลักสูตรเป็นอย่างมาก
เพราะหลักสูตรที่ดีจะต้องตอบสนองสังคมและพัฒนาสังคมไปพร้อมกัน
การศึกษาข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างรอบคอบจะทำให้เราสามารถนำไปพัฒนาหลักสูตรที่ดีตามลักษณะดังจ่อไปนี้
-สนองความต้องการของสังคม
-สอดคล้องกับความเป็นจริงในสังคม
-เน้นในเรื่องรักชาติรักประชาชน
-แก้ปัญหาให้กับสังคม มิใช่สร้างปัญหาให้กับสังคม
-ปรับปรุงสังคมให้ดีขึ้น
-สร้างความสำนึกในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
-ชี้นำในเรื่องการเปลี่ยนแปลงประเพณีและค่านิยม
-ต้องถ่ายทอดวัฒนธรรมและจริยธรรม
-ปลูกฝังในเรื่องความซื่อสัตย์และความยุติธรรมในสังคม
-ให้ความสำคัญในเรื่องผลประโยชน์ในสังคม
กระบวนการการพัฒนาหลักสูตร
ทาบา (Taba) ได้กล่าวถึง กระบวนการพัฒนาหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน
ตามความเชื่อที่ว่าผู้เรียนมีพื้นฐานแตกต่างกัน โดยกำหนดกระบวนการพัฒนาหลักสูตรไว้
7 ขั้นตอน ดังนี้
1.
วินิจฉัยความต้องการ : สำรวจสภาพปัญหา ความต้องการ และความจำเป็นต่างๆ
ของสังคม และผู้เรียน
2.
กำหนดจุดมุ่งหมาย :
หลังจากได้วินิจฉัยความต้องการของสังคมและผู้เรียนแล้วจะกำหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ชัดเจน
3.
คัดเลือกเนื้อหาสาระ : จุดมุ่งหมายที่กำหนด
แล้วจะช่วยในการเลือกเนื้อหาสาระให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย วัย
ความสามารถของผู้เรียน โดยเนื้อหาต้องมีความเชื่อถือได้ และสำคัญต่อการเรียนรู้
4.
จัดเนื้อหาสาระ : เนื้อหาสาระที่เลือกได้
ยังต้องจัดโดยคำนึงถึงความต่อเนื่อง และความยากง่ายของเนื้อหา วุฒิภาวะ ความสามารถ
และความสนใจของผู้เรียน
5.
คัดเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ : ครูผู้สอนหรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องคัดเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชา
และจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
6.
จัดประสบการณ์การเรียนรู้ :
ประสบการณ์การเรียนรู้ควรจัดโดยคำนึงถึงเนื้อหาสาระและความต่อเนื่อง
7.
กำหนดสิ่งที่จะประเมินและวิธีการประเมินผล :
ตัดสินใจว่าจะต้องประเมินอะไรเพื่อตรวจสอบผลว่าบรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้หรือไม่
และกำหนดด้วยว่าจะใช้วิธีประเมินผลอย่างไร ใช้เครื่องมืออะไร
สงัด อุทรานันท์
มีความเห็นว่าการพัฒนาหลักสูตรมีความครอบคลุมถึงการร่างหลักสูตรขึ้นมาใหม่
และการปรับปรุงหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นด้วย
การใช้หลักสูตรและการประเมินหลักสูตรนั้น
เป็นกระบวนการอันหนึ่งของการพัฒนาหลักสูตร
โดยได้จัดลำดับขั้นตอนของการพัฒนาหลักสูตรไว้ดังนี้ คือ
1.
การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน
2.
การกำหนดจุดมุ่งหมาย
3.
การคัดเลือกและจัดเนื้อหาสาระ
4.
การกำหนดมาตรการวัดและการประเมินผล
5.
การนำหลักสูตรไปใช้
6.
การประเมินผลการใช้หลักสูตร
7.
การปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรทั้ง 6 ขั้นดังกล่าว
มีสาระสำคัญโดยสรุปดังนี้
1.
การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน คือ ข้อมูลทางด้านความต้องการ
ความจำเป็นและปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและการปกครอง
ตลอดจนนโยบายทางการศึกษาของรัฐ ข้อมูลทางด้านจิตวิทยา ปรัชญาการศึกษา
ความต้องการของผู้เรียน ตลอดจนวิเคราะห์หลักสูตรเดิม
เพื่อพิจารณาข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงแก้ไข
2. การกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
คณะกรรมการดำเนินงานจะต้องร่วมกันพิจารณากำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรให้สอดคล้องกับข้อมูลพื้นฐาน
โดยจุดมุ่งหมายของหลักสูตรจะระบุคุณสมบัติของผู้ที่จบหลักสูตรนั้นๆ
มุ่งพัฒนาผู้เรียนทั้ง 3 ด้าน คือ พุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย
โดยกำหนดทั้งจุดมุ่งหมายทั่วไป และจุดมุ่งหมายเฉพาะ แต่ละรายวิชา
ซึ่งจะเน้นการปฏิบัติมากขึ้น โดยคำนึงถึงพัฒนาการทางร่างกาย และจิตใจ
ตลอดจนปลูกฝังนิสัยที่ดีงาม เพื่อให้เป็นพลเมืองดี
3.
การกำหนดเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้ หลังจากได้กำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรแล้ว
ก็ถึงขั้นการเลือกสาระความรู้ต่างๆ
ที่จะนำไปสู่การพัฒนาผู้เรียนให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
เพื่อความสมบูรณ์ให้ได้วิชาความรู้ที่ถูกต้องเหมาะสม กระบวนการขั้นนี้
จึงครอบคลุมถึงการคัดเลือกเนื้อหาวิชาแล้วพิจารณาจัดลำดับเนื้อหาเหล่านั้นว่า เนื้อหาสาระใดควรเป็นพื้นฐานของเนื้อหาใดบ้าง
ควรให้เรียนอะไรก่อนอะไรหลัง
แล้วแก้ไขเนื้อหาที่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งแง่สาระและการจัดลำดับที่เหมาะสม
ตามหลักจิตวิทยาการเรียนรู้
4.
การนำหลักสูตรไปใช้ เป็นขั้นของการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน
ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญ และเกี่ยวข้องกับครูผู้สอน หลักสูตรจะประสบผลสำเร็จ
มีประสิทธิภาพนั้นขึ้นอยู่กับผู้บริหารโรงเรียน
และครูผู้สอนจะต้องศึกษาทำความเข้าใจ และมีความชำนาญในการใช้หลักสูตร
ซึ่งครอบคลุมถึงการเตรียมการสอน การจัดการเรียนการสอน การจัดสภาพแวดล้อมต่างๆ
ภายในโรงเรียนเพื่อเสริมหลักสูตร การนิเทศการศึกษา และการบริหารการบริการหลักสูตร
ฯลฯ นอกจากนี้ในขั้นนี้ยังครอบคลุมถึงการนำหลักสูตรไปทดลองใช้ก่อนนำไปเผยแพร่ด้วย
5. การประเมินผลหลักสูตร
เป็นการประเมินสัมฤทธิ์ผลของหลักสูตรว่าเมื่อได้นำหลักสูตรไปใช้แล้วนั้น
ผู้ที่จบหลักสูตรนั้นๆ ไปแล้ว มีคุณสมบัติ
มีความรู้ความสามารถตามที่หลักสูตรกำหนดไว้หรือไม่ นอกจากนี้
การประเมินหลักสูตรจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปรับปรุงหลักสูตรให้มีคุณค่าสูงขึ้น
อันเป็นผลในการนำหลักสูตรไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้
การประเมินหลักสูตรควรทำให้ครอบคลุมระบบหลักสูตรทั้งหมด
และควรจะประเมินให้ต่อเนื่องกัน ดังนั้นการประเมินหลักสูตร
จึงประกอบด้วยการประเมินสิ่งต่อไปนี้ คือ
5.1 การประเมินเอกสาร หลักสูตร
เป็นการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร ว่ามีความเหมาะสมดี
และถูกต้องตามหลักการพัฒนาหลักสูตรเพียงใด
หากมีสิ่งใดบกพร่องก็จะได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขก่อนจะได้นำไปประกาศใช้ในโอกาสต่อไป
5.2 การประเมินการใช้หลักสูตร
เป็นการตรวจสอบว่าหลักสูตร สามารถนำไปใช้ได้ดีในสถานการณ์จริงเพียงใด
มีส่วนไหนที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้หลักสูตร
โดยมากหากพบข้อบกพร่องในระหว่างการใช้หลักสูตรก็มักได้รับการแก้ไขโดยทันที
เพื่อให้การใช้หลักสูตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
5.3 การประเมินสัมฤทธิผลของหลักสูตร
โดยทั่วไปจะดำเนินการหลังจากได้มีผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรไปแล้ว
การประเมินหลักสูตร
ในลักษณะนี้มักจะทำการติดตามความก้าวหน้าของผู้สำเร็จการศึกษาว่าสามารถประสบความสำเร็จในการทำงานเพียงใด
5.4 การประเมินระบบหลักสูตร
เป็นการประเมินหลักสูตรในลักษณะที่มีความสมบูรณ์และสลับซับซ้อนมาก กล่าวคือ
การประเมินระบบหลักสูตรจะมีความเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบอื่น
ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตรด้วย เช่น ทรัพยากรที่ต้องใช้
ความสัมพันธ์ของระบบหลักสูตร กับระบบบริหาร โรงเรียน ระบบการจัดการเรียนการสอน
และระบบการวัดและประเมินผลการเรียนการสอน เป็นต้น
6.
การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
เป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นหลังจากได้ผ่านกระบวนการประเมินผลหลักสูตรแล้ว
ซึ่งเมื่อมีการใช้หลักสูตรไประยะหนึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะแวดล้อมและสังคม
จนทำให้หลักสูตรขาดความเหมาะสม จำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
จากขั้นตอนดังกล่าวจะเห็นได้ว่า
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรนั้นจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการมากขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงใหม่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วการพัฒนาหลักสูตรจะต้องใช้เวลาเป็นปีขึ้นไป ในการเตรียมการ
และการดำเนินงานจำเป็นต้องใช้กำลังคน และงบประมาณมากพอสมควร
เพื่อจะให้ได้หลักสูตรที่ดีมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลในการพัฒนาเยาวชนของชาติต่อไป
ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร
ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร คือปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการยกระดับของหลักสูตรจากระดับที่เป็นขึ้นสู่อีกระดับหนึ่ง ปัญหาอันเกิดจากการร่วมคิดร่วมทำ ร่วมกันสร้างหลักสูตร
และร่วมกันนำหลักสูตรไปใช้ มีดังนี้
ปัญหาขาดครูที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
ปัญหาการไม่ยอมรับและไม่เปลี่ยนแปลงบทบาทการอสนของครูตามแนวหลักสูตร
ปัญหาการจัดอบรมครู
ศูนย์การพัฒนาหลักสูตร ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตน
ขาดการประสานงานหน้าที่ดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ
ผู้บริหารต่าง ๆ
ไม่สนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
ปัญหาขาดแคลนเอกสาร
เนื่องจากขาดงบประมาณและการคมนาคมขนส่งไม่
วิธีการการพัฒนาหลักสูตร มี 5 วิธีการ
การพัฒนาหลักสูตรจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง
การพัฒนาหลักสูตรจากเบื้องล่างสู่เบื้องบน
การพัฒนาหลักสูตรแบบวิธีการสาธิต
การพัฒนาหลักสูตรวิธีการอย่างมีระบบ
การพัฒนาหลักสูตรโดยวิธีเชิงปฏิบัติการ
ปัญหาและแนวโน้มในการพัฒนาหลักสูตร
ในบทบาทของครูผู้สอนจะต้องให้ความสำคัญกับกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร
เกิดจากบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนไม่เข้าใจกระบวนการของการพัฒนาหลักสูตร
ดังนั้นแนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร
บุคลากรทุกฝ่ายของสถานศึกษาจะต้องศึกษาเรื่องดังต่อไปนี้
1. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหลักสูตร
ความหมายของคำว่าหลักสูตร
ความหมายของคำว่าหลักสูตรที่เป็นที่ยอมรับในปัจจุบันคือมวลประสบการณ์ทั้งหมดที่จัดใหกับผู้เรียน
ซึ่งหลักสูตรมีองค์ประกอบที่สำคัญ
ได้แก่ จุดมุ่งหมาย ขอบข่ายเนื้อหา
และความสัมพันธ์กับเวลา
โดยรูปแบบหลักสูตรระดับห้องเรียน
2. ข้อมูลพื้นฐานของการพัฒนาหลักสูตร
ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรที่สำคัญ
มี 5 ด้าน ได้แก่ ด้านปรัชญาการศึกษา ด้านจิตวิทยา
การศึกษา ด้านสังคมและวัฒนธรรม ด้านวิชาการ
ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะต้องนำมาวิเคราะห์ เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนพัฒนาหลักสูตร
และการจัดองค์ประกอบของหลักสูตรที่สัมฤทธิ์ผลต่อไป
3. รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของสงัด อุทรานันท์
สงัด อุทรานันท์
ได้เสนอแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรโดยยึดหลักการพัฒนาหลักสูตรทั้งระบบ โดยแบ่งออกเป็นการร่างหลักสูตร การนำหลักสูตรไปใช้ และการประเมินผลหลักสูตรทั้งระบบอีกด้วย
แบ่งออกเป็นขั้นตอนซึ่งสามารถแสดงเป็นรูปวัฏจักรของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรได้ดังภาพประกอบการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นการประเมินผลการใช้การกำหนดจุดมุ่งหมายหลักสูตรปรับปรุงแก้ไขการนำหลักสูตรไปใช้การคัดเลือกจัดเนื้อหาสาระ
การกำหนดมาตรการการวัดและประเมินผล
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของวิชัย วงษ์ใหญ่
วิชัย วงศ์ใหญ่
(2543 , น. 77)
ได้เสนอรูปแบบและแนวคิดของขั้นตอนกระบวนการพัฒนาหลักสูตรไว้
ดังนี้
การกำหนดจุดมุ่งหมาย หลักการ
โครงสร้าง และการออกแบบหลักสูตร
ยกร่างเนื้อหาสาระแต่ละกลุ่มประสบการณ์ แต่ละหน่วยการเรียนและรายวิชา
นำหลักสูตรที่พัฒนาแล้วไปทดลองใช้ในโรงเรียนนำร่องและปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง
อบรมครู ผู้บริหารทุกระดับ และบุคลากรทางการศึกษาให้เข้าใจในหลักสูตรใหม่
นำหลักสูตรไปใช้ปฏิบัติการสอนในโรงเรียน และประกาศใช้หลักสูตร โดยมีกิจกรรมการใช้หลักสูตรใหม่ ดังนี้
การแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน คือ
การจัดทำวัสดุหลักสูตร ได้แก่ เอกสารและอุปกรณ์การเรียนการสอนที่จำเป็นผู้บริหารจัดเตรียมสิ่งต่าง
ๆ เช่น บุคลากร วัสดุหลักสูตร
และบริการต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่อบรมครูและบุคลากรฝ่ายบริหารหลักสูตร ห้องสมุด ห้องเรียน
รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณ การสอน
เป็นหน้าที่ของครูปฏิบัติการทั่วไป
การประเมินผล ซึ่งแบ่งออกเป็น 2
ส่วน คือ การประเมินผลการเรียนของนักเรียน
และการประเมินผลหลักสูตร
ตั้งแต่ประเมินเอกสาร
ผลการนำหลักสูตรไปใช้
และผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ซึ่งจะต้องประเมินอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
4.
การบริหารหลักสูตร
การบริหารหลักสูตร
เป็นการนำกระบวนการบริหารมาใช้ในขั้นตอนการวางแผนหลักสูตร การนำ
หลักสูตรไปใช้ ตลอดจนการประเมินผลหลักสูตร ซึ่งการบริหารหลักสูตรใด ๆ
ให้มีประสิทธิภาพต้องอาศัยบุคคลที่เกี่ยวข้องร่วมมือกัน
แต่สิ่งที่สำคัญประการหนึ่งที่ผู้บริหารหลักสูตรควรคำนึงถึงคือ
การเตรียมครูผู้สอน
เพราะว่าครูผู้สอนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่จะช่วยให้การใช้หลักสูตรนั้นบรรลุเจตนารมณ์ของหลักสูตร
โดยครูจะเป็นผู้นำหลักสูตรไปสู่การเรียนการสอนภายในห้องเรียน ดังนั้น จึงกล่าวไว้ว่า “ครูผู้สอน คือ
หัวใจของหลักสูตร”
และคุณภาพของครูผู้สอนจึงเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะนำไปสู่การบรรลุจุดหมายของหลักสูตร ด้วยเหตุนี้หน่วยงานที่ผลิตครูนั้น
การผลิตครูหรือพัฒนาครูควรตระหนักถึงคุณภาพของครูด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลิตครู ด้วยเหตุนี้จึงควรผลิตให้มีคุณภาพเพียงพอที่จะออกไปปฏิบัติหน้าที่ตามโรงเรียน
และสามารถออกไปใช้หลักสูตรได้
โดยสามารถแปลงหลักสูตรไปสู่การเรียนการสอนได้ ดังนั้น
หน่วยงานที่ผลิตครูควรให้ความสำคัญตั้งแต่การคัดเลือกนักศึกษาเข้ามาเรียนวิชาครูหลักสูตรสำหรับผลิตครู
และกระบวนการผลิตครู
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจตคติที่ดีต่อวิชาชีพครู ส่วนกรณีครูประจำการนั้น หน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องควรมีการพัฒนาครูอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง มีการติดตามและประเมินผลอย่างจริงจัง
ถ้าทุกฝ่ายให้ความร่วมมือกันที่จะเตรียมและพัฒนาครูให้มีคุณภาพ การศึกษาในอนาคตของประเทศก็คงจะมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
5.
นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้
วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ถือว่ากระบวนการสำคัญในการจัดการเรียนการสอน
ถ้าครูผู้สอนรู้จักเลือกวิธีการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับเนื้อหาสาระ ก็จะส่งผลต่อการบรรลุตามเป้าหมายของหลักสูตร อย่างไรก็ตาม
วิธีการจัดการเรียนการสอนต่าง ๆ ก็จะมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกันไป ซึ่งจะต้องอาศัยการเรียนรู้กระบวนการเหล่านั้นอย่างเข้าใจ
อันนำไปสู่การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ และตอบสนองหลักสูตรที่พัฒนาขึ้น
6. การประเมินหลักสูตร
การประเมินหลักสูตรมีความสำคัญอย่างมากในกระบวนการจัดการศึกษา เป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการ
ควบคุมคุณภาพ การประกันคุณภาพของการศึกษาหลาย ๆ ระดับ ตั้งแต่ระดับห้องเรียน ระดับโรงเรียน
ระดับเขตจนถึงระดับชาติ
ผู้ที่มีบทบาทในการประเมินทั้งในระดับผู้จัดทำนโยบายการศึกษา ผู้กำกับดูแล
จนถึงระดับผู้ปฏิบัติ
จึงควรทำความเข้าใจกับประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของการประเมินหลักสูตรให้ชัดเจน
เพื่อจะได้กำหนดวางแผนการประเมินหลักสูตรที่สอดคล้องกับเป้าหมายของการประเมิน
และสามารถนำผลการประเมินหลักสูตรไปใช้ได้จริง
7. การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา
หลักสูตรสถานศึกษาที่มีคุณภาพ
จะต้องเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของบุคลากรทุกคนในสถานศึกษา รวมทั้งบุคลากรที่เกี่ยวข้องนอกสถานศึกษา เพื่อระดมความคิด
ประสบการณ์มาใช้ในการกำหนดหลักสูตรและพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด
และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
รวมทั้งเปลี่ยนไปตามธรรมชาติของการศึกษา
การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา มีข้อควรคำนึง 2 ประการ คือ
ต้องเชื่อมโยงกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2544 และจะต้องพัฒนาผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ
สถานศึกษาสามารถออกแบบหลักสูตรของตนเองได้อย่างอิสระ โดยยึดนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับหลักวิชาการในการจัดการศึกษาที่มีความถูกต้องเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา
ชุมชน และท้องถิ่น
มีความเป็นไปได้ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร
ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร
คือปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการยกระดับของหลักสูตรจากระดับที่เป็นขึ้นสู่อีกระดับหนึ่ง ปัญหาอันเกิดจากการร่วมคิดร่วมทำ ร่วมกันสร้างหลักสูตร
และร่วมกันนำหลักสูตรไปใช้ มีดังนี้
ปัญหาขาดครูที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
ปัญหาการไม่ยอมรับและไม่เปลี่ยนแปลงบทบาทการสอนของครูตามแนวหลักสูตร
ปัญหาการจัดอบรมครู
ศูนย์การพัฒนาหลักสูตร ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตน
ขาดการประสานงานที่ดีระหว่างหน่วยงานต่าง
ๆ
ผู้บริหารต่าง ๆ
ไม่สนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหลัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น