วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2561

หลักสูตรแฝง


หลักสูตรแฝง
            โดยทั่วไปเราอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า “หลักสูตร” ซึ่งตามพจนานุกรมศัพท์ศึกษาศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายว่า หลักสูตร (curriculum) หมายถึง แผนการจัดการศึกษาที่ประมวลเนื้อหาสาระ ประสบการณ์ และกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ หลักการ จุดหมาย สาระการเรียนรู้ แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนมีพัฒนาการต่าง ๆ ตามจุดหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นความหมายหลักพื้นฐานที่ผู้เกี่ยวข้องกับศึกษาน่าจะทราบกันดีอยู่แล้ว แต่คำว่า หลักสูตรแฝง ที่เป็นหัวข้อในวันนี้ คืออะไรนั้น พจนานุกรมเล่มดังกล่าวอธิบายว่า หลักสูตรแฝง (hidden curriculum) หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจ และการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่มิได้กำหนดเป็นลายลักษณ์อักษร เกิดเพิ่มขึ้นเมื่อผู้เรียนได้รับสาระและประสบการณ์ตามที่หลักสูตรกำหนด นับเป็นการเรียนรู้ที่แฝงหรือซ่อนอยู่ในหลักสูตร
          หากจะอธิบายให้ชัดเจนยิ่งขึ้นคือ เหตุที่เรียกว่า หลักสูตรแฝง นั้น เนื่องมาจากความรู้ ความเข้าใจที่เราได้รับจะมาจากการเรียนรู้หรือมวลประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่ได้จัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียนโดยตรงตามหลักสูตรที่กำหนด เช่น คุณธรรม จริยธรรม วัฒนธรรม เจตคติ ค่านิยม ความเชื่อ มวลประสบการณ์ต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดไปสู่ผู้เรียนโดยไม่มีการเรียนการสอนโดยตรง แต่บูรณาการไปกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผู้เรียนปฏิบัติ ตลอดจนการได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมทางสังคมในสถานศึกษา รวมทั้งวัฒนธรรมองค์กรของแต่ละสถานศึกษาด้วย ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้จากการใช้ชีวิตในสถานศึกษา การเรียนรู้ต่าง ๆ ที่ไม่ต้องมีการจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการ แต่เป็นประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผู้เรียนได้รับและเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง และสิ่งที่ผู้เรียนได้รับจากหลักสูตรแฝงนั้นจะปรากฏเป็นพฤติกรรมและลักษณะนิสัยของผู้นั้นต่อไป.
          โรงเรียนโดยทั่วไปจะมีความสามารถและประสบความสำเร็จอย่างมากในการสอนให้นักเรียนอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น และมีความรู้อย่างดียิ่งในสาขาวิชาต่างๆ แต่สิ่งหนึ่งที่โรงเรียนได้ตระหนักและพยายามอย่างมาก แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จหรืออาจจะเรียกได้ว่าล้มเหลวมาตลอดก็คือ การสอนคุณธรรม จริยธรรม และความเป็นพลเมืองดีให้แก่นักเรียน เด็กเหล่านี้ได้รับการปลูกฝัง และอบรมสั่งสอนจากครูอย่างจริงจัง แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยปฏิบัติตามสิ่งที่ครูสอนมากนักแม้จะมีนักเรียนบางคนประพฤติตนตามคำสอนของครูอย่างเคร่งครัด แต่เมื่อเขาออกจากโรงเรียนไปแล้วก็เปลี่ยนพฤติกรรมและค่านิยมไปตามสังคมที่เรามองกันว่าไม่เหมาะสม คนทั่วๆ ไปในสังคมทราบว่าเหตุใดการสอนให้คนทำความดี และประพฤติดีจึงไม่ประสบความสำเร็จ เขาทราบกันดีว่ามีผู้สอนและผู้อบรมไม่น้อยที่มีลักษณะพูดอย่างทำอย่าง หรือ สอนอย่างหนึ่งแต่ตนเองทำอีกอย่างหนึ่ง จึงมีคำพูดหรือคำเปรียบเทียบที่แสดงข้อเท็จจริงนี้ออกมา เช่น “แม่ปูสอนลูกปู”  “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” และ “จงทำตามที่ครูสอนแต่อย่างทำตามที่ครูทำ”  เป็นต้น ข้อความนี้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจของคนไทยที่มีต่อการสอนค่านิยมและจริยธรรมได้เป็นอย่างดี เพราะโดยธรรมชาติมนุษย์เราจะเรียนรู้พฤติกรรม บุคลิกลักษณะ ค่านิยม และจริยธรรมโดยการเรียนแบบ นักการศึกษาและนักสังคมศาสตร์ชาวตะวันตกได้ให้ความสนใจในการเรียนรู้ประเภทนี้ และเชื่อว่านักเรียนเรียนรู้ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม และพฤติกรรมต่างๆ  จากการกระทำของครูเอง และจากสิ่งที่โรงเรียนจัดให้รวมทั้งสิ่งแวดล้อมของโรงเรียน มากกว่าการสอนสิ่งเหล่านี้ตามที่ได้กำหนดไว้ในตัวหลักสูตร และได้บัญญัติคำเพื่อเรียกการเรียนรู้ที่แท้จริงที่ไม่ได้เกิดจากหลักสูตรปกติว่า หลักสูตรแฝง (Hidden Curriculum)

ความหมาย
หลักสูตรแฝง เป็นคำที่แปลมาจากภาษาอังกฤษว่า Hidden curriculum แต่มีนักพัฒนาหลักสูตรบางท่านพอใจที่จะใช้คำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกัน เช่น กู๊ดแลด (Goodlad,1094) ใช้คำว่า implicit curriculum และเซย์เลอร์กับอเล็กซานเดอร์ (Saylor & Alexander,1974) ใช้คำว่า unstudied curriculum ถึงแม้จะใช้คำที่แตกต่างกันไปบ้าง แต่ต่างก็มีความหมายใกล้เคียง หรือถือได้ว่าเป็นความหมายที่มีนัยเดียวกัน คือเป็นหลักสูตรที่แฝงซ่อนเร้น ไม่เปิดเผย และไม่ได้มุ่งศึกษาโดยตรง เพราะถือว่าเป็นหลักสูตรที่ไม่เป็นทางการ (unofficial curriculum)
                   หลักสูตรแฝง เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้กำหนดแผนการเรียนรู้เอาไว้ล่วงหน้าและเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่โรงเรียนไม่ได้ตั้งใจจะจัดให้ จากนิยามนี้สามารถอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจดีขึ้นโดยตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมดังนี้ ในทางเปิดเผยโรงเรียนสอนคณิตศาสตร์และจัดให้เด็กชายหญิงเรียนรู้ การอ่าน การเขียน การสะกดคำและอื่นๆ แต่โรงเรียนและครูได้สอนหลายสิ่งหลายอย่างโดยไม่ตั้งใจจากการสอนตามหลักสูตรปกติในรูปของกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นมา และเรียนรู้จากสภาพการณ์และเงื่อนไขเชิงสังคมและเชิงกายภาพที่โรงเรียนจัดให้ เป็นต้นว่าสอนนักเรียนให้ทำงานตามลำพังในเชิงของการแข่งขัน หรือให้นักเรียนทำงานด้วยกันเป็นกลุ่ม สอนให้นักเรียนเป็นผู้กระทำหรือเป็นถูกกระทำ ให้รู้จักพอใจเกี่ยวกับข้อเท็จจริงพื้นๆ หรือให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งและอื่นๆ สรุปสั้นๆ และตรงประเด็นก็คือ ครูหรือโรงเรียนสอนค่านิยมให้แก่เด็กอย่างแอบแฝง หรือโดยไม่ตั้งใจ
                   แม้จะไม่มีใครกล่าว และให้ความสนใจให้กับหลักสูตรแฝงมากนัก แต่ต้องยอมรับว่าหลักสูตรแฝงมีอยู่ในทุกโรงเรียน สไนเดอร์ (Snyder,1970) ได้ยืนยันความจริงข้อนี้ว่าไม่มีสถานศึกษาใดเลย ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนมัธยมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยที่ไม่มีหลักสูตรแฝงปรากฏอยู่และเขาได้แสดงความเชื่อต่อไปว่าหลักสูตรแฝงมีอิทธิพลต่อการปรับตัวของนักเรียนและอาจารย์มากกว่าหลักสูตรปกติ

หลักสูตรแฝงกับพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย
              โดยทั่วไปโรงเรียนจะประสบความสำเร็จมากในการสอนให้เกิดการเรียนรู้ทางด้าน              พุทธิพิสัย  และทักษะพิสัย  ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีการสอนและการประเมินผลที่จัดให้เกิดความสอดคล้องกันได้ง่ายและกระทำได้ง่าย  แต่โรงเรียนจะมีปัญหาในการสอนนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้ทางด้านจิตพิสัยซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจิต  อารมณ์และการกระทำที่สอดคล้องกัน  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ  เป็นเรื่องของการสอน  เจตคติ  ค่านิยม  และความประพฤติที่พึงประสงค์  เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้โดยการบรรยาย  หรือการใช้คำพูดสั่งสอน  เพราะโดยธรรมชาติและหลักข้อเท็จจริง  เด็กจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ใช้คำพูดสั่งสอน  เพราะโดยธรรมชาติและหลักข้อเท็จจริง  เด็กจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากตัวอย่างและการกระทำของผู้ใหญ่และผู้อยู่ใกล้ชิดมากกว่า
                   ชิลเบอร์เมน (Silberman,1970:9) ได้ยืนยันความจริงในข้อนี้ว่า  สิ่งที่นักการศึกษาจะต้องตระหนักให้มากก็คือ  วิธีการที่เขาสอนและการกระทำของพวกเขามีความสำคัญมากกว่าสิ่งที่เขาสอน  นั่นก็คือว่าวิถีทางที่เรากระทำกับสิ่งต่างๆ จะสร้างค่านิยมได้ตรงกว่าและมีประสิทธิผลมากกว่าที่เราได้สอนหรือพูดคุยกับเขาโดยตรงการปฏิบัติการในเชิงการบริหารที่มีลักษณะเฉพาะ  ประเภทการเลื่อนชั้นโดยอัตโนมัติการแบ่งกลุ่มนักเรียนตามความสามารถ  การแบ่งแยกผิวพรรณและเชื้อชาติ  หรือการสอบแข่งขันเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาจะมีผลต่อหน้าที่พลเมืองมากกว่าการเรียนโดยตรงในหลักสูตรวิชาสังคมศึกษา  เด็กๆ จะถูกสอนให้เรียนรู้เกี่ยวกับค่านิยมจริยธรรม  ศีลธรรม  บุคลิกภาพ  และความประพฤติทุกวันจากการจัดและดำเนินการของโรงเรียน  เช่น  วิถีทางที่ครูและพ่อแม่ประพฤติ  วิถีทางที่พวกเขาพูดกับเด็กและระหว่างผู้ใหญ่ด้วยตนเอง  ชนิดของพฤติกรรมที่พวกเขายอมรับและให้รางวัล  และชนิดของพฤติกรรมที่พวกเขาไม่ยอมรับ  และมีการลงโทษ  มากกว่าการเรียนรู้จากเนื้อหาที่บรรจุไว้ในหลักสูตรปกติ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คำถามท้ายบทที่ ๑๐

1. การประเมินหลักสูตรมีความจำเป็นหรือไม่อย่างไร ตอบ.หลักสูตรเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดการศึกษาเพราะเป็นการขยายแนวคิดในการจัดการศึกษา...