หลักสูตรสัมพันธ์วิชา
หลักสูตรสัมพันธ์ (Correlation
or Correlated Curriculum) คือ
หลักสูตรที่มีความสัมพันธ์กันในหมวดวิชาหรือระหว่างวิชา
แนวคิดของหลักสูตรสัมพันธ์นี้
เป็นแนวคิดที่จะพยายามขจัดปัญหาอันเกิดขึ้นในหลักสูตรหมวดวิชา เนื่องจากหลักสูตรหมวดวิชานั้นมีของเขตของเนื้อหาอย่างกว้างขวาง
ทำให้เกิดการซ้ำซ้อนในด้านเนื้อหาประการหนึ่ง
และอีกประการหนึ่งการกำหนดครูให้อยู่แต่ละหมวดวิชา
ทำให้ขาดความสัมพันธ์ในเนื้อหาที่ต่างหมวดวิชากัน
หลักสูตรสัมพันธ์พยายามกำหนดเนื้อหาวิชาในวิชาใดวิชาหนึ่งหรือหมวดใดหมวดหนึ่งตามเนื้อหาสาระและโครงสร้างของวิชานั้น
ๆ แล้วนำเนื้อหาสาระวิชาอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กันมารวมเข้าไว้ด้วยกัน ดร.สุจริต
เพียรชอบ ได้กล่าวถึงวิธีการที่จะทำให้หมวดวิชาและแต่ละวิชาสัมพันธ์มี 4 วิธี คือ
(สุจริต เพียรชอบ. 2521: 9-11)
1. การจัดให้มีการสัมพันธ์ระหว่างวิชาในระดับที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก
เช่น ครูสอนวรรณคดี
ก็อาจให้นักเรียนวาดภาพประกอบเป็นการแสดงออกซึ่งจินตนาการของนักเรียน
นักเรียนอาจร่วมกันร้องเพลง เล่นละครหรืออาจแสดงบทบาทสมมติ
กระบวนการเรียนการสอนเช่นนี้ คือการสอนวิชาภาษาไทยให้สัมพันธ์กับวิชาศิลปศึกษา
หรืออาจสัมพันธ์กับวิชาประวัติศาสตร์
2.
หมวดวิชาสังคมศึกษาและหมวดวิชาวิทยาศาสตร์
มีเนื้อหาบางอย่างซ้ำซ้อนหรือใกล้เคียงกัน เช่น ในเรื่องของสุริยจักรวาล
ครูทั้งสองหมวดช่วยกันคิดและวางแผนกิจกรรมการเรียนการสอนร่วมกัน
ก็จะทำให้วิชาภูมิศาสตร์และวิชาวิทยาศาสตร์ในเรื่องของวิชาฟิสิกส์มีความสัมพันธ์กันมากขึ้นและในความรู้สึกของผู้เรียนก็จะรู้สึกสนุกสนานและจะเรียนเพียงครั้งเดียวก็จะครอบคลุมเนื้อหาทั้งสองวิชา
3. ถ้าปัญหาเกิดขึ้นเหมือนกรณีที่สอง
ครูทั้งสองหมวดวิชาอาจวางแผนกิจกรรมการเรียนดารสอนร่วมกัน ดำเนินการสอนร่วมกัน
และใช้เวลาการสอนเป็นช่วงระยะยาวเป็นช่วงระยะยาวเป็นหลาย ๆ คาบติดต่อกัน
4. การกำหนดหัวข้อเรื่องหรือปัญหาต่าง
ๆ มักจะต้องอาศัยความเกี่ยวพันของหมวดวิชาหรือวิชาหลาย ๆ สาขาพิจารณาร่วมกัน
กิจกรรมการเรียนการสอนก็จำเป็นต้องอาศัยวิธีการหลาย ๆ อย่าง เช่น
ในเรื่องปัญหาที่เกี่ยวกับสภาวะแวดล้อม
ปัญหาการวางแผนครอบครัวต้องอาศัยเนื้อหาทั้งทางวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์
และภาษาศาสตร์ เป็นต้น
หลักสูตรสัมพันธ์วิชา (The
Correlated Curriculum) เป็นหลักสูตรรายวิชาที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ
แรกทีเดียวการแก้ไขข้อบกพร่องทำโดยการนำเอาเทคนิคการสอนใหม่ๆ มาใช้ เช่น
ให้ผู้เรียนร่วมในการวางแผนการเรียน และให้ผู้เรียนทำกิจกรรมต่างๆ
นอกเหนือจากการท่องจำ เพื่อให้ผู้เรียนรู้เนื้อหาที่ต้องการ
ทั้งนี้เพื่อแก้ข้อบกพร่องของหลักสูตรที่เน้นเรื่องผู้สอนเป็นผู้สั่งการหรือจุดศูนย์กลางของการเรียนการสอน
แต่การปรับปรุงด้านเทคนิคการสอนไม่ได้ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องที่ว่า
หลักสูตรรายวิชามีขอบเขตแคบเฉพาะวิชา และยังมีลักษณะแบ่งแยกเป็นส่วนย่อยๆ อีกด้วย
ในระยะต่อมาได้มีการปรับปรุงแก้ไขอีกโดยจัดให้มีความเชื่อมโยงระหว่างวิชาต่างๆ
ทำให้เกิดหลักสูตรสัมพันธ์วิชาขึ้น
วิธีการเชื่อมโยงก็ทำทั้งในระดับความคิดและระดับโครงสร้างดังได้กล่าวมาแล้ว
อย่างไรก็ตามหลักสูตรสัมพันธ์วิชาก็คือหลักสูตรรายวิชาอีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง แต่เป็นหลักสูตรที่นำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ
ที่สอดคล้องหรือส่งเสริมซึ่งกันและกัน
มาเชื่อมโยงกันเข้าแล้วจัดสอนเนื้อหาเหล่านั้นในคราวเดียวกัน
วิธีการนี้อาศัยหลักความคิดของแฮร์บารตที่ว่าการที่จะเรียนรู้สิ่งใดได้ดีผู้เรียนจะต้องมีความสนใจเข้าใจความหมายของสิ่งที่เรียนและมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่เรียนและสิ่งอื่นที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นการนำเอาเนื้อหาของวิชาหนึ่งมาเชื่อมโยงกับอีกวิชาหนึ่งในการเรียนการสอน
ย่อมเป็นการส่งเสริมหลักความคิดดังกล่าวข้างต้น ตัวอย่างเช่น
การนำเอาเนื้อหาของวิชาภูมิศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของชาติไทย เขมร
ลาว และเวียดนาม หรือนำเอาหลักเกณฑ์ของวิชาคณิตศาสตร์มาเชื่อมโยงเป็นเครื่องมือในการสอนวิทยาศาสตร์
เป็นต้น
สำหรับวิธีการที่ใช้ในการสัมพันธ์วิชา เท่าที่ปฏิบัติกันมามีอยู่ 3 วิธีคือ
1. สัมพันธ์ในข้อเท็จจริง
กล่าวคือใช้ข้อเท็จจริงของวิชาส่วนหนึ่งมาช่วยประกอบการสอนอีกวิชาหนึ่ง
เช่น
เมื่อมีการศึกษาประวัติศาสตร์ตอนใดตอนหนึ่งถ้าปรากฏว่ามีวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ตอนนั้นอยู่ด้วย
ก็นำเอาวรรณคดีนั้นมาศึกษาด้วยในขณะเดียวกันเป็นการเพิ่มความเข้าใจแก่ผู้เรียนมากขึ้น
ในทำนองเดียวกันอาจนำเอาข้อเท็จจริงของวิชาภูมิศาสตร์มาสอนให้ทราบถึงสาเหตุของสงคราม หรือแสดงเส้นทางของกองทัพ
หรือแสดงลักษณะทางภูมิศาสตร์ของประเทศคู่สงครามก็ได้
2. สัมพันธ์ในหลักเกณฑ์
การสร้างความสัมพันธ์วิธีนี้เป็นการนำเอาหลักเกณฑ์หรือแนวความคิดของวิชาหนึ่งไปใช้อธิบายเรื่องราวหรือแนวความคิดของอีกวิชาหนึ่ง เช่น
สร้างความสัมพันธ์หรือเชื่อมโยงวิชาจิตวิทยากับสังคมวิทยาเข้าด้วยกัน
โดยใช้หลักจิตวิทยาอธิบายเหตุการณ์ในสังคมในวิชาประวัติศาสตร์ เป็นต้นว่าใช้กฎการขาดความมั่นคงและการถดถอย (Frustration
and Regression) แสดงให้เห็นว่าการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งมีพฤติกรรมก้าวร้าวและใช้อาวุธเข้าทำร้ายประเทศเพื่อนบ้าน
ก็เนื่องจากประชาชนในประเทศถูกกดดันมาเป็นเวลานาน
ในทำนองเดียวกันกฎเกณฑ์ของวิชาวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ ได้แก่ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา
ฯลฯ ก็อาจนำมาเชื่อมโยงกันได้
การนำเอากฎเกณฑ์ของวิชาหนึ่งไปใช้กับอีกวิชาหนึ่ง
ดังได้กล่าวมานี้ เป็นผลให้เกิดการหลอมวิชา (Fusion) และเกิดหลักสูตรอีกแบบหนึ่งเรียกว่า
หลักสูตรบูรณาการ (The Integrated Curriculum)
3. สัมพันธ์ในแง่ศีลธรรมและหลักปฏิบัติในสังคม
วิธีนี้คล้ายวิธีที่ 2 แค่แตกต่างกันตรงที่ว่า แทนที่จะใช้หลักเกณฑ์หรือแนวความคิดเป็นตัวเชื่อมโยง
กลับใช้หลักศีลธรรมและหลักปฏิบัติของสังคมเป็นเครื่องอ้างอิง ตัวอย่างเช่น
อาจเชื่อมโยงแนวความคิดของผู้ประพันธ์วรรณคดี
ยุคหนึ่ง เข้ากับระบบการปกครองในยุคนั้นก็ได้ คือใช้วรรณคดีสะท้อนความคิดด้านการปกครอง
ทำให้มองเห็นแนวความคิดได้เด่นชัดยิ่งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น